ในการใช้น้ำมันหอมระเหย
ควรศึกษาวิธีการใช้ให้ละเอียดก่อน
เพราะถึงแม้ว่าวิธีการใช้ง่ายแต่ก็มีข้อมูลอีกหลายอย่างที่ควรทราบและพึงระวัง
ดังนี้
1. ควรเจือจางน้ำมันหอมระเหยด้วย carrier
oil ก่อนใช้
เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยที่เข้มข้นอาจทำให้ระคายเคืองได้
และไม่ควรให้น้ำมันหอมระเหยสัมผัสบริเวณรอบดวงตาและผิวที่อ่อนบาง
2. ก่อนใช้น้ำมันหอมระเหย
ควรทดสอบก่อนว่าเกิดอาการแพ้หรือไม่
3. น้ำมันหอมระเหยบางชนิดเหนี่ยวนำให้
ผิวหนังมีความไวต่อแสง (photosensitive)
เช่น น้ำมันมะกรูด น้ำมันมะนาว ฯลฯ
ดังนั้นจึงควร
หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรงภายหลังจากการ
ใช้น้ำมันหอมระเหยเป็นเวลาอย่างน้อย 4
ชั่วโมง
4. สตรีที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ควร
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันหอมระเหยต่อไปนี้
คือ น้ำมันโหระพา น้ำมันกานพลู น้ำมันเปปเปอร์มินต์
น้ำมันกุหลาบ น้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันแคลรี่เซจ
(clary sage oil) น้ำมันไทม์ (thyme oil)
น้ำมันวินเทอร์กรีน (wintergreen oil)
น้ำมันมาร์โจแรม (marjoram oil) และเมอร์
(myrrh)
5. ผู้ที่เป็นโรคลมชัก
และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันเซจ (sage
oil)
6. ควรเก็บน้ำมันหอมระเหยในขวดที่มีสี
เข้ม ในที่ปลอดภัยห่างจากมือเด็กและเปลวไฟ
7. ไม่ควรรับประทานน้ำมันหอมระเหย
นอกจากได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเหมาะสมกับอายุด้วย
ดังนั้นจึงพบว่า Aromatherapy
เป็นวิธีการบำบัดรักษาทางธรรมชาติวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูง
ดังนั้นจึงมีผู้นำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ประโยชน์ในการรักษาสุขภาพของตนเองมากขึ้น
โดยผ่านการศึกษาค้นคว้ามาแล้วหลายช่วงเวลา
สั่งสมให้คุณค่าความรู้ทางด้าน
Aromatherapy มีสูงมากยิ่งขึ้น
โดยได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อที่จะได้นำผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์
มาสนับสนุนข้อมูลที่มีมาแต่เดิม
และเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในการใช้ผลิตภัณฑ์
Aromatherapy
ในการนำมาบำบัดรักษามากยิ่งขึ้น
รายละเอียด อโรมา
อยู่ด้านล่าง นะครับ
|
|